ผู้ประพันธ์
แบบเรียนจินดามณี
แต่งครั่งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประพันธ์โดย พระโหราธิบดี นักกวีชาวพิจิตร เดิมอยู่ในสุโขทัย
ผู้เป็นบิดาของศรีปราชญ์ทั้งเป็นโหรที่ทำนายทายทักได้แม่นยำนัก
รับราชการมาตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์ พระโหราธิบดี แต่งเมื่อ พ.ศ ๒๒๑๕
ตำนานศรีปราชญ์ที่พระยาปริยัติธรรมธาดา กล่าวว่า
พระโหราธิบดีเป็นบิดาของศรีปราชญ์
สันนิษฐานว่าอาจถึงแก่กรรมก่อน
พ.ศ . ๒๒๒๓
ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับสั่งให้รวบรวมชำระกฎหมายเหตุซึ่งท่านแต่งไว้เข้ากับฉบับอื่นๆ
พระโหราธิบดี สันนิษฐานว่าเห็นจะเป็นคนเดียวกับ พระมหาราชครู
เพราะสมเด็จพระ-นารายณ์ทรงยกย่องเป็นครูบาอาจารย์ ซึ่งสามารถอ้างจากหนังสือ จินดามณี (๒๕๕๑:๑๖๘) ได้กล่าวว่า
สมเด็จพระนารายณ์คงจะได้เคยเป็นศิษย์พระโหราธิบดี มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๑๘๔ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จประพาสพระที่นั่ง
ไอสวรรยทิพอาศน์ที่บางปะอินครั้นเพลาค่ำเสด็จออกมาประทับยืนที่หน้ามุข สมเด็จพระนารายณ์เวลานั้นมีพระชนม์ได้ ๑o พรรษา ทรงส่องโคมถวาย “ อสนีลงหน้าบัน แว่นประดับและรูปสัตว์ตกกระจายมารอบพระองค์
ส.มเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอจะได้เป็นอันตรายหามิได้
ทรงพระกรุณาให้พระโหราทำนาย ถวายพยากรณ์ว่าเป็นมหาศุภนิมิต จะทรงพระกฤษฎาธิการยิ่งขึ้น แล้วจะได้พระราชลาภต่างประเทศ” เมื่อปรากฏว่าพระโหราธิบดี เป็นที่ทรงเชื่อถือไว้วางพระราชหฤทัย กอบทั้งทรงเกียรติคุณเช่นนี้ สมเด็กพระเจ้าปราสาททองคงจะได้ทรงมอบสมเด็จพระนารายณ์เมื่อเป็นพระราชกุมาร ให้พระโหราธิบดีถวายพระอักษรและอบรม จึงปรากฏว่า
ในรัชกาลของพระองค์
สมเด็จพระนารายณ์ทรงเป็นขัตติยกวีที่ทรงพระเกียรติพระองค์หนึ่ง
เกียรติคุณของพระโหราธิบดี
พระโหราธิบดีผู้นี้ ปรากฏเกียรติคุณว่าเป็นผู้ทูลถวายคำทำนายแม่นยำ สมเด็จพระเจ้า-ปราสาททองทรงเชื่อถือมาก มีกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารว่า “พระโหราคนนี้แม่นยำนัก ครั้งหนึ่ง (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง)
เสด็จอยู่ในพระที่นั่งจักวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท มุสิกตกลงมา ทรงพระกรุณาเอาขันทองครอบไว้ ให้หาพระโหรามาทาย พระโหราคำนวณแล้วทูลว่าสัตว์สี่เท้า ทรงพระกรุณาตรัสว่ากี่ตัว พระโหราคำนวณแล้วทูลว่าสี่ตัว
ทรงพระกรุณาตรัสว่าสัตว์สี่เท้านั้นถูกอยู่ แต่ที่สี่ตัวนั้นผิดแล้ว ครั้นเปิดขันทองขึ้น เห็นลูกมุสิกคลานอยู่สามตัวกับแม่ตัวหนึ่งเป็นสี่ตัว
ก็ทรงพระกรุณาตรัสสรรเสริญพระโหราธิบดีว่าดูแม่นกว่าตาเห็นอีก ให้พระราชทานเงินตราชั่งหนึ่ง เสื้อผ้าสองสำรับ แต่นั้นมาก็เชื่อถือพระโหราธิบดีนัก” ต่อมาใน พ.ศ. ๒๑๘๖ พระโหราถวายฎีกาว่าใน ๓
วันจะเกิดเพลิงในพระราชวัง
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงได้ทรงฟังก็ตกพระทัยจึง “ให้ขนของเทพระราชวังออกไปอยู่วัดไชยวัฒนาราม ทั้งเรือบัลลังก์ เรือศรี
เรือคลัง คับคั่งแออัดกันอยู่ แลในพระราชวังนั้น เกณฑ์ไพร่สามพันสรรพด้วยพร้าขอ ตะกร้อน้ำรักษา ห้ามมิให้หุงข้าวในพระราชวัง แล้วเรือตำรวจคอยบอกเหตุทุกทุ่มโมง ครั้นคำรบสามวัน
เพลาชายแล้วสี่นาฬิกาเรือตำรวจลงไปกราบทูลพระกรุณาว่าสงบอยู่
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่าครั้งนี้เห็นพระโหราจะผิดอยู่แล้ว สั่งเรือเถิด จะเข้าพระราชวัง
เจ้าพนักงานก็เลื่อนเรือพระที่นั่งกิ่งเข้ารับเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงฉนวนประจำท่า พระโหราอยู่ท้ายเรือพระที่นั่ง
กราบทูลว่าขอให้ย่ำฆ้องก่อนจึงจะสิ้นพระเคราะห์ สมเด็จพระ-เจ้าอยู่หัวก็ให้ลอยเรือพระที่นั่งอยู่ เพลาชายแล้วห้านาฬิกา เมฆพยับคลุ้มขึ้นข้างจิมทิศ ฝนตกพรำๆ ลงมา ทรงพระกรุณาตรัสแก่พระโหราว่าฝนตกลงสิ้นเหตุแล้วกระมัง พระโหรากราบทูลว่าขอพระราชทานงดก่อน พอสิ้นคำลง
อสนีเปรี้ยงลงมาต้องเหมพระมหาปราสาทเป็นเพลิงติดพลุ่งโพลงขึ้นไหม้ลามลงมา
คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในพระราชวังมิรู้ที่จะทำประการใด แลดีบุกอันคาดหลังคานั้นไหลราดลงมาดังห่าฝน
เพลิงก็ไหม้ตืดต่อไปทั้งห้วยคลังเรือนหน้าเรือนหลังร้อยสิบเรือนจึงดับได้”
สมเด็จพระนารายณ์คงจะได้เคยเป็นศิษย์พระโหราธิบดี มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๑๘๔
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จประพาสพระที่นั่ง ไอสวรรยทิพอาศน์ที่บางปะอินครั้นเพลาค่ำเสด็จออกมาประทับยืนที่หน้ามุข สมเด็จพระนารายณ์เวลานั้นมีพระชนม์ได้ ๑o พรรษา ทรงส่องโคมถวาย “ อสนีลงหน้าบัน แว่นประดับและรูปสัตว์ตกกระจายมารอบพระองค์
ส.มเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอจะได้เป็นอันตรายหามิได้ ทรงพระกรุณาให้พระโหราทำนาย
ถวายพยากรณ์ว่าเป็นมหาศุภนิมิต
จะทรงพระกฤษฎาธิการยิ่งขึ้น
แล้วจะได้พระราชลาภต่างประเทศ”
เมื่อปรากฏว่าพระโหราธิบดี
เป็นที่ทรงเชื่อถือไว้วางพระราชหฤทัย
กอบทั้งทรงเกียรติคุณเช่นนี้
สมเด็กพระเจ้าปราสาททองคงจะได้ทรงมอบสมเด็จพระนารายณ์เมื่อเป็นพระราชกุมาร ให้พระโหราธิบดีถวายพระอักษรและอบรม จึงปรากฏว่า
ในรัชกาลของพระองค์ สมเด็จพระนารายณ์ทรงเป็นขัตติยกวีที่ทรงพระเกียรติพระองค์หนึ่ง
ราชสำนักของพระองค์สนั่นเสนาะไปด้วยศัพท์สังคีตและแซ่ระงมไปด้วยสำเนียงแห่งกาพยนิพนธ์กลโคลงกลอนฉันท์การกวีเฉกเช่นศรีปราชญ์กล่าวไว้ในอนิรุทธคำฉันท์ว่า
จำเรียงสานเสียง ประอรประเอียง
กรกรีดเพยียทอง
เต่งติงเพลงพิณ ปี่แคนทรลอง
สำหรับลบอง ลเบงเฉ่งฉันท์
ระงมดนตรี คือเสียงกระวี
สำเนียงนิรันดร์
บรรสานเสียงถวาย เยียผลัดเปลี่ยนกัน แลพวกแลพรรค์
บรรสานเสียงดูริย์
จินดามณี (๒๕๕๑:๑๖๗-๑๖๙)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น